แม้ว่าอากาศจะเป็นก๊าซ
แต่อากาศก็มีน้ำหนักเช่นเดียวกับของแข็งและของเหลว เราเรียกน้ำหนักซึ่งกดทับกันลงมานี้ว่า ความกดอากาศ (Air pressure) ความกดอากาศจะมีความแตกต่างกับแรงที่เกิดจากน้ำหนักกดทับตรงที่
ความกดอากาศมีแรงดันออกทุกทิศทุกทาง เช่นเดียวกับแรงดันของอากาศในลูกโป่ง

ภาพที่
1 บารอมิเตอร์ชนิดปรอท
อุปกรณ์วัดความกดอากาศ
เรียกว่า บารอมิเตอร์ (Barometer)
หากเราบรรจุปรอทใส่หลอดแก้วปลายเปิด แล้วคว่ำลงตามภาพที่ 1 ปรอทจะไม่ไหลออกจากหลอดจนหมด
แต่จะหยุดอยู่ที่ระดับสูงประมาณ 760 มิลลิเมตร เนื่องจากอากาศภายนอกกดดันพื้นที่หน้าตัดของอ่างปรอทไว้
ความกดอากาศมีหน่วยวัดเป็น มิลลิเมตรปรอท
นิ้วปรอท และ มิลลิบาร์ โดยความกดอากาศที่พื้นผิวโลกที่ระดับน้ำทะเลปานกลาง มีค่าเท่ากับ
760 มิลลิเมตรปรอท (29.92 นิ้วปรอท) หรือ 1013.25 มิลลิบาร์
ในปัจจุบันนักอุตุนิยมวิทยานิยมใช้ มิลลิบาร์ เป็นหน่วยมาตรฐานในการวัดความกดอากาศ
1
มิลลิบาร์ = แรงกด 100 นิวตัน/พื้นที่ 1 ตารางเมตร
โดยที่แรง 1 นิวตัน คือ แรงที่ใช้ในการเคลื่อนมวล 1 กิโลกรัม ให้เกิดความเร่ง
1 (เมตร/วินาที)/
วินาที
ปัยจัยที่มีอิทธิพลต่อความกดอากาศ
ยิ่งสูงขึ้นไป อากาศยิ่งบาง อุณหภูมิยิ่งต่ำ ความกดอากาศยิ่งลดน้อยตามไปด้วย
เพราะฉะนั้น ความกดอากาศบนยอดเขา จึงมักจะน้อยกว่าความกดอากาศที่เชิงเขา
อากาศเย็นมีความหนาแน่นมากกว่าอากาศร้อน จึงมีความกดอากาศมากกว่า
เรียกว่า ความกดอากาศสูง (High pressure)
ในแผนที่อุตุนิยมจะใช้อักษรH สีน้ำเงิน เป็นสัญลักษณ์ (ดูภาพที่ 2)
อากาศร้อนมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศเย็น จึงมีความกดอากาศน้อยกว่า
เรียกว่า ความกดอากาศต่ำ (Low pressure)
ในแผนที่อุตุนิยมจะใช้อักษร L สีแดง เป็นสัญลักษณ์
การเคลื่อนที่ของอากาศ
การพาความร้อน
(Convection) ของบรรยากาศ ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของอากาศทั้งแนวตั้งและแนวราบ
แนวตั้ง อากาศร้อนยกตัวขึ้น อากาศเย็นจะเคลื่อนเข้ามาแทนที่ การเคลื่อนตัวของอากาศในแนวตั้ง
ทำให้เกิดการเมฆ ฝน และความแห้งแล้ง
แนวราบ อากาศจะเคลื่อนตัวจากหย่อมความกดอากาศสูง (H) ไปยังหย่อมความกดอากาศต่ำ
(L) ทำให้เกิดการกระจายและหมุนเวียนอากาศไปยังตำแหน่งต่างๆ บนผิวโลก
เราเรียกอากาศซึ่งเคลื่อนตัวในแนวราบว่า ลม (Wind)
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อลม
แรงเกรเดียนของความกดอากาศ
(Pressure-gradiant force)พื้นผิวโลกแต่ละบริเวณได้รับ
พลังงานจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน พื้นที่ดังกล่าวจึงมีอุณหภูมิและความดันอากาศแตกต่างกันไป
บน
แผนที่อุตุนิยมจะมีเส้นแสดงความกดอากาศเท่ากัน เรียกว่า ไอโซบาร์ (Isobars) เส้นไอโซบาร์แต่ละ
เส้นจะมีค่าความกดอากาศแตกต่างเท่าๆ
กัน เช่น แตกต่างกันทุกๆ 6 มิลลิบาร์เป็นต้น (ภาพที่ 2)
แรงเกรเดียนของความกดอากาศ = ความกดอากาศที่แตกต่าง / ระยะทางระหว่าง
2 ตำแหน่ง |
ถ้าหากเส้นไอโซบาร์อยู่ใกล้ชิดกันแสดงว่า
ความกดอากาศเหนือบริเวณนั้นมีความแตกต่างกันมาก หรือมีแรง เกรเดียนมาก แสดงว่ามีลมพัดแรง แต่ถ้าเส้นไอโซบาร์อยู่ห่างกันแสดงว่า
ความกดอากาศเหนือบริเวณนั้นมีความแตกต่างกันไม่มาก หรือมีแรงเกรเดียนน้อย
แสดงว่ามีลมพัดอ่อน

ภาพที่
2 แผนที่แสดงเกรเดียนของความกดอากาศ และทิศทางลม
แรงโคริออริส (Coriolis)
เป็นแรงเสมือนซึ่งเกิดจากการที่โลกหมุนหมุนรอบตัวเอง
ในภาพที่ 3 บน แสดงให้เห็นว่า หากโลกไม่หมุนรอบตัวเอง การยิงจรวดจากขั้วโลกเหนือไปยังเป้าหมายบนตำแหน่งที่เส้นศูนย์สูตรตัดกับเส้นแวงที่
90° จะได้วิถีของจรวดเป็นเส้นตรง โดยสมมุติให้จรวดใช้เวลาเดินทางจากจุดปล่อยไปยังเป้าหมายใช้เวลาเดินทาง
1 ชั่วโมง
ในภาพที่ 3 ล่าง อธิบายถึงการเกิดแรงโคริออริส เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเอง
1 รอบใช้เวลา
24 ชั่วโมง เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง นับตั้งแต่จรวดถูกปล่อยออกจากจุดปล่อยไปยังเป้าหมาย
การหมุนของโลกทำให้วิถีของจรวดเป็นเส้นโค้ง และเคลื่อนไปตกบนเส้นแวงที่
105° เนื่องจากหนึ่งชั่วโมงโลกหมุนไปได้ 15° (105° -
90° = 15°)

ภาพที่
3 แรงโคริออริส
แรงโคริออริสไม่มีอิทธิพลต่อกระแสลมที่บริเวณเส้นศูนย์สูตร
แต่จะมีอิทธิพลมากขึ้นในละติจูดที่
สูงเข้าใกล้ขั้วโลก แรงโคริออริสทำให้ลมในซีกโลกเหนือเบี่ยงเบนไปทางขวา และทำให้ลมในซีกโลกใต้
เบี่ยงเบนไปทางซ้าย
ภาพที่ 4 แสดงให้เห็นว่า ในบริเวณซีกโลกเหนือ แรงโคริออริสทำให้มวลอากาศ
รอบหย่อมความกดอากาศต่ำ
(L) หรือ ไซโคลน (Cyclone) หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกาเข้าสู่ศูนย์กลาง
และมวลอากาศรอบหย่อมความกดอากาศสูง (H) แอนติไซโคลน (Anticyclone) หมุนตัวตามเข็ม
นาฬิกาออกจากศูนย์กลาง ในบริเวณซีกโลกใต้ ไซโคลน จะหมุนตัวตามเข็มนาฬิกา และ แอนติไซ
โคลน จะหมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา ตรงกันข้ามกับซีกโลกเหนือ

ภาพที่
4 ไซโคลน และ แอนติไซโคลน ในซีกโลกเหนือ
แรงเสียดทาน
(Friction) เป็นแรงที่เกิดจากความขรุขระของผิวโลก ทำให้เกิดความต้านทางการเคลื่อนที่ของอากาศ
แรงเสียดทานมีอิทธิพลเฉพาะกับอากาศบริเวณใกล้พื้นผิว ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร
แรงเสียดทานมีผลกระทบต่อความเร็วลม และก่อให้เกิดกระแสอากาศปั่นป่วน
(Turbulence) ซึ่งมีปัจจัยควบคุม 3 ประการคือ
ความร้อนที่ผิวดิน ถ้าอากาศเหนือพื้นผิวร้อนมาก ก็จะทำให้เกิดกระแสอากาศปั่นป่วนอย่างรุนแรง
(ในลักษณะเดียวกับน้ำเดือดในภาชนะ)
กระแสลม ถ้ากระแสลมแรง ก็จะทำให้เกิดกระแสอากาศปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ลักษณะภูมิประเทศ บริเวณภูเขาและหุบเขา จะมีกระแสอากาศปั่นป่วนกว่าบริเวณที่เป็นพื้นราบ
อุปกรณ์วัดลม
อุปกรณ์วัดทิศทางลม
(Wind Vane) ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
เครื่องวัดทิศทางลม มีรูปร่างคล้ายเหมือนลูกศร กระแสลมปะทะเข้ากับแผ่นหางเสือที่ปลายลูกศร
ทำให้หัวลูกศรชี้เข้าหาทิศทางที่กระแสลมพัดมาตลอดเวลา
แป้นบอกทิศทาง ทำหน้าที่เสมือนหน้าปัด มีอักษรบอกทิศหลักสี่ทิศ คือ
ทิศเหนือ (N) ทิศตะวันออก (E) ทิศใต้ (S) และทิศตะวันตก (W) สำหรับแป้นบอกทิศทางชนิดละเอียด
จะมีแบ่งหน้าปัดแบ่งทิศออกเป็น 360 องศา โดยมีจุดเริ่มต้นเป็นทิศเหนือ
แล้วนับมุมตามเข็มนาฬิกาไปทางขวา ดังภาพที่ 5

ภาพที่
5 หน้าปัดแสดงทิศทางลม
อุปกรณ์วัดความเร็วลม
(Anemometer) มีรูปร่างเหมือนใบพัดเครื่องบิน หรือกรวยดักลม
มีหลักการทำงานเหมือนเช่นเดียวกับเครื่องวัดความเร็วในรถยนต์ เมื่อกระแสลมพัดมาปะทะใบพัด
(กรวยดักลม) จะทำให้แกนหมุนและส่งสัญญาณจำนวนรอบมาให้เครื่องคำนวณเป็นค่าความเร็วลมอีกทีหนึ่ง
โดยมีหน่วยวัดเป็นเมตรต่อวินาที
ภาพที่
6 เครื่องวัดความเร็วลม
© 2003 - 2010 The LESA Project
All rights reserved.
|