เมื่อประมาณ
4,600 ล้านปีมาแล้ว กลุ่มก๊าซในเอกภพบริเวณนี้ ได้รวมตัวกันเป็นหมอกเพลิงมีชื่อว่า โซลาร์เนบิวลา (Solar แปลว่า สุริยะ, Nebula แปลว่า หมอกเพลิง)
แรงโน้มถ่วงทำให้กลุ่มก๊าซยุบตัวและหมุนตัวเป็นรูปจาน ใจกลางมีความร้อนสูงเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชั่น
กลายเป็นดาวฤกษ์ที่ชื่อว่าดวงอาทิตย์ ส่วนวัสดุที่อยู่รอบๆ มีอุณหภูมิต่ำกว่า
รวมตัวเป็นกลุ่มๆ มีมวลสารและความหนาแน่นมากขึ้นเป็นชั้นๆ และกลายเป็นดาวเคราะห์ในที่สุด
ดังที่แสดงในภาพที่ 1

ภาพที่ 1 บรรยากาศของโลกในอดีต
โลกในยุคแรกเป็นหินหนืดร้อน
ถูกกระหน่ำชนด้วยอุกกาบาตขนาดใหญ่ตลอดเวลา องค์ประกอบ
ซึ่งเป็นธาตุหนัก
เช่น โลหะ จมตัวลงสู่แก่นกลางของโลก องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุเบา
เช่น ซิลิกอน และ
ก๊าซต่างๆ ลอยตัวขึ้นสู่พื้นผิว บรรยากาศของโลกหนาแน่นมากประกอบกับพื้นผิวโลกเองก็ยังเดือดอยู่
จึงแทบแยกไม่ออกว่า ส่วนไหนคือพื้นผิวกันแน่ บรรยากาศของโลกอบอวลไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออก
ไซด์ ไนโตรเจน และมีเทน ซึ่งมีกำเนิดจากภายในของโลก อุกกาบาตที่พุ่งชนรวมทั้งดาวหางซึ่งเดินทาง
มาจากแดนไกล
ได้นำน้ำแข็งเข้ามาแล้วระเหยกลายเป็นไอน้ำ ส่วนก๊าซไฮโดรเจนนั้นลอยตัวขึ้นและปะทะ
กับลมสุริยะแตกตัวเป็นประจุ
(Ion) และหลุดหนีสู่อวกาศ ดังที่แสดงในภาพที่ 2

ภาพที่ 2 โลกในยุคเริ่มแรก
กำเนิดสิ่งมีชีวิต
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า
สิ่งมีชีวิตบนโลกเริ่มอุบัติขึ้นเมื่อประมาณ 3,900 พันล้านปีมาแล้ว
ทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นจากภาวะที่ร้อนระอุนี้เอง
ซึ่งก๊าซทั้งหลายรวมตัวกันและมีกระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่ากระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาเป็น
สิ่งมีชีวิตขึ้นมา ในปี ค.ศ.1953 นักวิทยาศาสตร์ชื่อ สแตนลีย์
มิลเลอร์ ได้ทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยผสมก๊าซมีเทน (CH4),
แอมโมเนีย (NH3), ไฮโดรเจน (H2) และไอน้ำ (H2O) เข้าด้วยกัน แล้วกระตุ้นด้วยประจุไฟฟ้า
เพื่อจำลองสภาพบรรยากาศของโลกในยุคเริ่มแรก ผลลัพธ์ที่ได้คือ สารอินทรีย์สีน้ำตาลแดง
และกรดอะมิโนซึ่งเป็นโมเลกุลพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ภายใต้สภาวะไร้ออกซิเจน
นอกจากทฤษฎีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นภายในโลกเอง
ซึ่งสนับสนุนโดยการทดลองของสแตนลีย์แล้ว นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า
สิ่งมีชีวิตบนโลกมาจากอวกาศภายนอก โดยเดินทางมากับดาวหาง เนื่องจากสัดส่วนของปริมาณธาตุองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต
ใกล้เคียงกับสัดส่วนของธาตุองค์ประกอบของฝุ่นอวกาศและดาวหาง ดังแสดงในตารางที่
1
ตารางที่
1 เปรียบเทียบเปอร์เซนต์ของธาตุที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิต และที่มีอยู่ในอวกาศ
ธาต |
แบคทีเรีย |
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม |
ฝุ่นอวกาศ |
ไอระเหยของดาวหาง |
ไฮโดรเจน
(H) |
63.1 |
61.0 |
55 |
26 |
ออกซิเจน
(O) |
29.0 |
26.0 |
30 |
31 |
คาร์บอน
(C) |
6.4 |
10.5 |
13 |
10 |
ไนโตรเจน
(N) |
1.4 |
2.4 |
1 |
2.7 |
กำมะถัน
(S) |
0.1 |
0.1 |
1 |
0.3 |
ในปี พ.ศ.2520
เรือดำน้ำวิจัยอัลวินของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตรวจพบ ท่อน้ำพุร้อน (Black
smoker) ที่แนวสันกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้เกาะกาลาปากอส
ที่ระดับความลึก 2.1 กิโลเมตร ดังที่
แสดงในภาพที่ 3 ณ บริเวณนั้นแสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง
น้ำพุร้อนอุณหภูมิสูงประมาณ 350 °C แต่ไม่
เดือดเนื่องจากความกดดันสูงมาก
น้ำที่พุ่งขึ้นมามีสารละลายเหล็กเฟอร์รัส (Fe2+) ซึ่งมีความเป็นกรด
สูง
มีค่า pH เพียง 2.8 แม้ว่าสิ่งแวดล้อมที่นั่นรุนแรงขนาดนี้ แต่บริเวณนั้นกลับเต็มไปด้วยชุมชนของ
สิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตที่โดดเด่นในบริเวณนั้นคือ หนอนท่อ Tubeworm ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการหายใจเอา ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S)
จากบ่อน้ำพุร้อนเข้าไปให้ แบคทีเรียกำมะถัน (Sulfur bacteria) ซึ่งอยู่
ในท้อง สร้างพลังงานจากการเผาผลาญไฮโดรเจนซัลไฟด์
โดยใช้ออกซิเจนที่ละลายอยู่น้ำทะเล
การค้นพบครั้งนี้เป็นการเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ของการศึกษาสิ่งมีชีวิต
และเป็นการยืนยันว่า สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีแสงแดด
และก๊าซออกซิเจนในบรรยากาศได้

ภาพที่ 3 หนอนท่อ (Tube warm) และปล่องน้ำพุร้อน
(Black smoker)
สิ่งมีชีวิตและบรรยากาศยุคแรก
องค์ประกอบหลักของบรรยากาศโลกในยุคก่อนมีสิ่งมีชีวิต
ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซไนโตรเจน ซึ่งปล่อยออกมาจากปล่องภูเขาไฟ
โดยมีก๊าซมีเทนและไอน้ำเจือปนอยู่เล็กน้อย (ตารางที่ 2) ในยุคนั้นดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันและมีพลังงานไม่มากพอจะให้ความอบอุ่นแก่พื้นผิวโลกดังเช่นปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามบรรยากาศส่วนใหญ่เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นก๊าซเรือนกระจกดูดกลืนรังสีอินฟราเรดไว้
ทำให้โลกมีอบอุ่นเพียงพอสำหรับสิ่งมีชีวิต เมื่อโลกเย็นตัวลง ไอน้ำควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำละลายคาร์บอนไดออกไซด์
สิ่งแวดล้อมในยุคนั้นจึงมีความเป็นกรดสูง ทั้งพื้นดิน มหาสมุทร
และบรรยากาศ
ตารางที่
2 องค์ประกอบของบรรยากาศโลก
-ก๊าซในบรรยากาศ |
ก่อนมีสิ่งมีชีวิต |
ยุคเริ่มแรก |
ยุคปัจจุบัน |
ไนโตรเจน
(N2) |
10-80% |
50-80% |
78% |
ออกซิเจน
(O2) |
0 |
0 |
21% |
คาร์บอนไดออกไซด์
(CO2) |
30-90% |
10-20% |
0.036% |
มีเทน
(CH4) |
100
ส่วนต่อล้านส่วน |
10,000
ส่วนต่อล้านส่วน |
1.6
ส่วนต่อล้านส่วน |
ความกดอากาศ |
1-10
บาร์ |
1-2
บาร์ |
1
บาร์ |
นักวิทยาศาสตร์พบหินตะกอนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอยู่ที่เกาะกรีนแลนด์มีอายุ
3.8 ล้านปี และทำการตรวจวัดด้วยกัมมันตภาพรังสีของคาร์บอน 12 พบว่าหินตะกอนนี้เกิดจากแหล่งทางชีวภาพ
นอกจากนั้นยังพบซากสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุด อยู่ในทวีปออสเตรเลีย
เป็นฟอสซิลจุลินทรีย์อายุ 3.5 พันล้านปี (ภาพที่ 4) จุลินทรีย์โบราณนี้เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวคือ
เซลล์โพรคาริโอตไม่มีนิวเคลียส รูปร่างคล้ายแบคทีเรียในปัจจุบัน
สิ่งมีชีวิตยุคแรกยังไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่บนบก เนื่องจากบรรยากาศยังไม่มีก๊าซโอโซนสำหรับกรองรังสีอุลตราไวโอเล็ต
ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต พวกมันจึงจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในมหาสมุทร
เพื่อใช้น้ำทะเลเป็นปราการปกป้องรังสีอุลตราไวโอเล็ตในแสงอาทิตย์
เราจะสังเกตได้ว่า สิ่งแวดล้อมของสิ่งมีชีวิตในยุคแรกนั้น ปราศจากก๊าซออกซิเจนและแสงอาทิตย์

ภาพที่ 4 ฟอสซิลจุลินทรีย์โบราณ อายุ 3,500
ล้านปี
เวลาต่อมาแบคทีเรียโบราณเริ่มอพยพขึ้นสู่เขตน้ำตื้น
ใช้สารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตในน้ำทะเลสร้างเกาะกำบังแสงอาทิตย์
และพัฒนาตัวให้สามารถสังเคราะห์อาหารจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยแสงอาทิตย์
ภาพที่ 5 เป็นภาพสโตรมาโทไลต์ ซึ่งเป็นอาณานิคมของแบคทีเรียซึ่งอาศัยอยู่ในเขตน้ำตื้น
ตารางที่
3 การสังเคราะห์อาหารด้วยแสง

ภาพที่ 5 สโตรมาโทไลต์
การทวีปริมาณก๊าซออกซิเจน
ก๊าซออกซิเจนในบรรยากาศ
เริ่มมีปริมาณเพิ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2 พันล้านปีก่อน เนื่องจากเซลล์โพรคาริโอตบางสายพันธุ์ได้พัฒนาเป็นเซลล์ยูคาริโอต
โดยการสร้างเนื้อเยื่อห่อหุ้มโครโมโซม และสร้างคลอโรพลาสต์เพื่อสังเคราะห์พลังงานจากแสงอาทิตย ์เพื่อเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศให้เป็นอาหาร
และปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา เมื่อก๊าซออกซิเจน (O2) ลอยตัวสู่บรรยากาศชั้นบน
มันจะดูดกลืนรังสีอุลตราไวโอเล็ต และแตกตัวเป็นออกซิเจนอะตอมเดี่ยว
(O) จากนั้นจะรวมตัวกับโมเลกุลของก๊าซออกซิเจนอีกครั้งเกิดเป็นก๊าซโอโซน
(O3) เมื่อบรรยากาศของโลกมีก๊าซโอโซนห่อหุ้มแล้ว รังสีอุลตราไวโอเล็ตไม่สามารถแผ่ลงมาถึงพื้นผิวได้
สิ่งมีชีวิตซึ่งเคยอาศัยอยู่ในท้องทะเลก็เริ่มอพยพขึ้นบก
ตารางที่
4 การเกิดโอโซน
ขณะที่แพลงตอนและสาหร่ายสีเขียวปกคลุมมหาสมุทร
และพืชพันธุ์ปกคลุมผืนป่าบนแผ่นดิน พื้นผิวโลกเกือบทุกส่วนกลายเป็นแหล่งผลิตก๊าซออกซิเจน
ปริมาณของออกซิเจนในบรรยากาศบรรลุจุดสูงสุดเมื่อประมาณ 500 ล้านปีก่อนนี้
กราฟในภาพที่ 6 แสดงถึงความสัมพันธุ์ของวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตกับปริมาณก๊าซออกซิเจนในบรรยากาศ

ภาพที่ 6 การทวีปริมาณของก๊าซออกซิเจน
ขณะที่เซลล์ยูคาริโอตพัฒนาคลอโรพลาสต์
เพื่อสังเคราะห์อาหารจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยแสง แล้วปล่อยก๊าซออกซิเจน
มันได้พัฒนาไมโทครอนเดรียน เพื่อนำออกซิเจนมาเผาผลาญอาหารให้เกิดพลังงาน
แล้วปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกมาควบคู่ไปด้วย นี่คือรากฐานของสมดุลธรรมชาติ
สิ่งมีชีวิตในยุคต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นพืชและสัตว์ ออโตทรอฟและเฮเทโรทรอฟเป็นสิ่งที่คู่กัน
ฝ่ายหนึ่งผลิต-อีกฝ่ายหนึ่งบริโภค ฝ่ายหนึ่งสร้างออกซิเจน-อีกฝ่ายหนึ่งสร้างคาร์บอนไดออกไซด์
ดังเช่น ไดอะตอม (แพลงตอนพืช) และฟอรามินิเฟอร์ (แพงตอนสัตว์)
ในภาพที่ 7

ภาพที่ 7 แพลงตอนพืช และแพลงตอนสัตว์ (ไม่ใช่สัดส่วนจริง)
ออกซิเจนเป็นประโยชน์กับสปีชีส์หนึ่ง
แต่กลับเป็นพิษกับอีกสปีชีส์หนึ่ง ขณะที่แบคทีเรียสีน้ำเงินแกมเขียวสร้างก๊าซออกซิเจนออกมา
แบคทีเรียบางสปีชีส์ก็ถูกทำลาย ออกซิเจนเป็นธาตุที่ไวต่อการทำปฏิกิริยามาก
เราจะพบว่าออกซิเจนเป็นสารประกอบของธาตุอื่นบนพื้นผิวโลกเกือบทุกชนิด
เช่น ทราย (SiO2) สนิมเหล็ก (Fe2O3) ถ้าปริมาณของออกซิเจนในบรรยากาศโลกมีมากถึง
35% ไฟจะไหม้โลก ในขณะที่พืชนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาสร้างอาหาร
สัตว์กลับหายใจปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่บรรยากาศ ถ้าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศมีมากเกินไป
โลกจะร้อน (Global warming) น้ำแข็งขั้วโลกจะละลาย และน้ำจะท่วมโลก
เราจึงเห็นได้ชัดเจนว่า สิ่งมีชีวิตมีอิทธิพลต่อบรรยากาศ และสมดุลของโลกเป็นอย่างยิ่ง
วัฏจักรคาร์บอน
วัฏจักรช่วงยาว:
(ดูภาพที่ 8 และตารางที่ 5 ประกอบ) โลกในยุคแรกปกลุมด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งโผล่ขึ้นมาจากภูเขาไฟ เพื่อสร้างภาวะเรือนกระจกให้เกิดความอบอุ่นให้กับพื้นผิว
เนื่องจากดวงอาทิตย์ในยุคนั้นยังมีขนาดเล็ก กาลต่อมาดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่ขึ้น
โลกลดภาวะเรือนกระจกโดย (1) น้ำฝนละลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ
เกิดเป็นกรดคาร์บอนิค (2) ทำปฏิกิริยากับแคลเซียมซิลิเกตบนพื้นผิวทำให้เกิดซิลิกา
(ทราย) ประจุแคลเซียม ประจุคาร์บอเนตไหลรวมกันลงสู่แม่น้ำและทะเล
(3) สิ่งมีชีวิตบนแผ่นดิน สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลใช้แคลเซียมไบคาร์บอเนตมาสร้างเปลือก
เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงสะสมเป็นตะกอนหินปูนที่พื้นทะเล (4) หินตะกอนใต้เปลือกมหาสมุทร
ถูกหลอมละลายโดยแมกม่า และถูกดันขึ้นมาทางปลองภูเขาไฟในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
วัฏจักรช่วงสั้น: (5) พืชและแพลงตอนสีเขียว ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ
เพื่อสร้างอาหารโดยการสังเคราะห์ด้วยแสง และปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา
(6) สัตว์หายใจเข้านำก๊าซออกซิเจนไปเผาผลาญอาหาร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับคืนสู่บรรยากาศ
สิ่งมีชีวิตสร้างร่างกายจากคาร์บอนในอาหาร เมื่อตายลงก็จะคืนคาร์บอนไว้กับแผ่นดิน
หรืออาจฝังตัวเป็นน้ำมันและถ่านหิน (7) ในสภาวะที่ขาดออกซิเจนแบคทีเรียจะย่อยสลายอาหาร
ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดและก๊าซมีเทน (8) เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงคาร์บอนในร่างกายจะสะสมในดิน
การทับถมตัวในสภาวะที่ไร้ออกซิเจนหลายร้อยล้านปีจะทำให้เกิด ถ่านหิน
น้ำมันดิบ หรือก๊าซเชื้อเพลิง มนุษย์ขุดวัตถุดิบเหล่านี้มาเป็นเชื้อเพลิง
ปล่อยคาร์บอนได
ออกไซด์กลับคืนสู่บรรยากาศ

ภาพที่ 8 วัฏจักรคาร์บอน
ตารางที่
5 วัฏจักรคาร์บอน
วัฏจักรไนโตรเจน
ไนโตรเจน
(N2) เป็นก๊าซที่มีมากที่สุดในบรรยากาศ และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในโมเลกุลของกรดอะมิโน
ซึ่งเชื่อมต่อกันเป็นโปรตีน ใช้ในการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต
อย่างไรก็ตามทั้งพืชและสัตว์ไม่สามารถใช้ไนโตรเจนในอากาศมาสร้างเซลล์ได้โดยตรง
จะต้องผ่านกระบวนการสลับซับซ้อนมากมาย ซึ่งอาศัยแบคทีเรียในดิน
ในน้ำ หรือหรือปมรากของพืชตระกูลถั่ว ช่วยตรึงก๊าซไนโตรเจนในอากาศและเปลี่ยนเป็นก๊าซแอมโมเนีย
(NH3) ก๊าซแอมโมเนียทำปฏิกริยากับน้ำในดินแล้วเกิดประจุแอมโมเนียม
(NH4+) แบคทีเรียอีกชนิดเปลี่ยนประจุแอมโมเนียมเป็นไนไตรท์ (NO2-)
และไนเตรท (NO3-) รากพืชดูดสารละลายไนเตรทในน้ำไปใช้สร้างเนื้อเยื่อเพื่อเจริญเติบโต
สัตว์รับไนไตรทไปใช้โดยการกินพืชอีกทีหนึ่ง
เมื่อพืชและสัตว์ตายลง
แบคทีเรียและเห็ดราย่อยสลายซากที่เหลือ เปลี่ยนไนเตรทเป็นไนไตรท์
และทำให้เกิดก๊าซไนโตรเจน และก๊าซไนตรัสออกไซด์ N2O กลับคืนสู่บรรยากาศ
เป็นอันครบวัฏจักรไนโตรเจน ดังที่แสดงในภาพที่ 9

ภาพที่ 9 วัฏจักรไนโตรเจน
ตารางที่
6 วัฏจักรไนโตรเจน
วัฏจักรกำมะถัน
กำมะถัน
(Sulphur) เป็นธาตุที่สำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่รักษาโครงสร้างของโปรตีนในการเชื่อมต่อโมเลกุลของกรดอะมิโน
กำมะถันมีมากในมหาสมุทรในรูปของประจุซัลเฟต สิ่งมีชิวิตขนาดเล็กเช่น
แบคทีเรียใช้ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์จากน้ำพุร้อนช่วยในการสังเคราะห์อาหาร
สาหร่ายบางชนิดย่อยสลายอาหารและปลดปล่อยก๊าซ ไดเมทิลซัลไฟด์
(DMS) สู่บรรยากาศ เมื่อไดเมทิลซัลไฟด์ทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจนจะเกิดประจุซัลเฟต
ซึ่งเป็นอนุภาคละอองอากาศขนาดเล็ก (Aerosol) มีบทบาทสำคัญต่อบรรยากาศโลก
2 ประการคือ ช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ทำให้โลกเย็นลง และเป็นแกนควบแน่นให้ไอน้ำจับตัวกลายเป็นหยดน้ำ
ทำให้เกิดเมฆ ถ้าปราศจากแกนควบแน่นแล้ว ไอน้ำจะไม่สามารถควบแน่นเป็นหยดน้ำได้เลย
เมื่อหยดน้ำมีขนาดใหญ่กลายเป็นฝนตก พาอนุภาคซัลเฟตกลังลงสู่ทะเลอีกครั้งหนึ่งเป็นการครบวงจร
ดังที่แสดงในภาพที่ 10

ภาพที่ 10 วัฏจักรกำมะถัน
บทสรุป
บรรยากาศของโลกในปัจจุบันแตกต่างไปจากอดีตมาก
บรรยากาศของโลกในยุคก่อนมีสิ่งมีชีวิตเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด ์เช่นเดียวกับดาวเคราะห์เพื่อนบ้านทั้งสองอันได้แก่
ดาวศุกร์ และดาวอังคาร โมเลกุลใหญ่ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เกิดความกดอากาศสูง
และภาวะเรือนกระจกซึ่งทำให้โลกมีอุณหภูมิสูง สิ่งมีชีวิตได้เพิ่มออกซิเจนให้แก่บรรยากาศ
เพื่อลดความกดอากาศและภาวะเรือนกระจก ทำให้โลกมีอุณหภูมิลดลง เกิดสภาวะแวดล้อมอำนวยต่อการดำรงชีวิต
(ข้อมูลในตารางที่ 7)
มนุษย์ ในฐานะของสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการสูงสุด เราได้กระทำกิจกรรมที่สวนทางกับบรรพบุรุษหรือไม่
บรรพบุรุษตรึงคาร์บอนไว้ใต้พื้นโลก ให้โลกเย็น / เราขุดเชื้อเพลิง
เผาไหม้ ให้โลกร้อน
บรรพบุรุษเก็บน้ำเป็นน้ำแข็งเพิ่มผืนแผ่นดิน / เราทำให้น้ำแข็งละลายจนน้ำท่วม
บรรพบุรุษสร้างต้นไม้เพื่อสังเคราะห์อาหาร / เราสร้างอาหารด้วยการตัดไม้ทำลายป่า
บรรพบุรุษสร้างออกซิเจนให้หายใจ / เราสร้างก๊าซพิษจากเครื่องยนต์และโรงงาน
บรรพบุรุษสร้างแพลงตอนให้ฝนตก / เราสร้างความแห้งแล้งและปล่อยน้ำให้เน่าเสีย
บรรพบุรุษสร้างโอโซนเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต / เราทำลายโอโซนด้วยสาร
CFC
หากกิจกรรมของเรายังดำเนินไปเช่นทุกวันนี้ ในอนาคตโลกจะเป็นอย่างไร
ตารางที่
7: องค์ประกอบของบรรยากาศของโลก และดาวเคราะห์เพื่อนบ้าน
ก๊าซในบรรยากาศ |
ดาวศุกร์ |
โลก |
ดาวอังคาร |
ก่อนมีสิ่งมีชีวิต |
เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต |
คาร์บอนไดออกไซด์ |
96.5% |
98% |
0.03% |
95% |
ไนโตรเจน |
3.5% |
1.9% |
79% |
2.7% |
ออกซิเจน |
0% |
0% |
21% |
0.13% |
อุณหภูมิ
(°C) |
480 |
290 |
13 |
-53 |
ความกดอากาศ
(บาร์) |
90 |
60 |
1 |
0.0064 |