เรื่องที่ 3 การย่อยอาหารของคน จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.
สืบค้นข้อมูล
ทดลอง อภิปราย
และสรุปถึงส่วนประกอบและหน้าที่ของทางเดินอาหารแต่ละ
ส่วนในร่างกายคน
รวมถึงการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร
ร่างกายมีกระบวนการอย่างไรจึงจะทำให้โมเลกุลของสารอาหารขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลง และกระบวนการนี้เกิดขึ้นที่ส่วนใดของร่างกาย
การย่อยอาหารของคน การย่อยอาหาร (Digestion) คือ กระบวนการแปรสภาพสารอาหารโมเลกุลใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อการดูดซึมเข้าสู่เซลล์ คนมีระบบทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์
ลักษณะเป็นท่อ มีอวัยวะทำหน้าที่พิเศษหลายอย่างอยู่ระหว่างช่องเปิดทั้ง 2 ช่อง
มีเนื้อเยื่อบุผิวปกคลุมด้วยเมือกบุพื้นผิวด้านใน อาหารที่กินเข้าไปเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียว
คือจากปากผ่านคอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก
ลำไส้ใหญ่และไปสิ้นสุดที่ทวารหนัก นอกจากนี้ยังมีต่อมน้ำลาย ถุงน้ำดี ตับ ตับอ่อน เป็นอวัยวะพิเศษทำหน้าที่หลั่งเอนไซม์และสารอื่นเข้าสู่บริเวณเฉพาะแห่งของทางเดินอาหาร
การย่อยอาหารมี
2 วิธี
คือ 1. การบดให้ละเอียด (Mechanical digestion)
โดยใช้ฟันบดเคี้ยวหรือการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อหลอดอาหาร
กระเพาะอาหารและลำไส้เป็นจังหวะเรียกว่าเพอริสทัลซีส (Peristalsis)
ภาพที่ 3.1 การเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อหลอดอาหารติดต่อกันเป็นลูกคลื่น เรียกว่าเพอริสทัลซีส
ที่มา :
www.nlm.nih.gov/medlineplus/spanish/ency/images/ency/fullsize/9736.jpg 2.
การให้เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive enzyme) เป็นกระบวนการทางเคมี (Chemical digestion) เป็นการย่อยที่ต้องใช้เอนไซม์จากต่อมต่าง ๆ
ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร
เป็นชนิดที่ทำปฏิกิริยาร่วมกับน้ำ
จึงเรียกเอนไซม์พวกนี้ว่าไฮโดรเลส (Hydrolase) เอนไซม์ (Enzyme) คือสารอินทรีย์พวกโปรตีน
ซึ่งสิ่งมีชีวิตสร้างขึ้น
เพื่อทำหน้าที่กระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายในสิ่งมีชีวิต แบ่งออกเป็น 3 ชนิดดังนี้ 1.
Carbohydase เอนไซม์ที่ย่อยสารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต ดังแผนภาพ
ภาพเคลื่อนที่ 3.1 การย่อยสารอาหารคาร์โบไฮเดรตโดยเอนไซม์พวก
Carbohydaseจนได้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว 2.
Protease เอนไซม์ที่ย่อยสารอาหารพวกโปรตีน ดังแผนภาพ
ภาพเคลื่อนที่ 3.2 การย่อยสารอาหารโปรตีนโดยเอนไซม์พวกProtease จนได้กรดอะมิโน 3.
Lipase เอนไซม์ที่ย่อยสารอาหารพวกไขมัน ดังแผนภาพ
ภาพเคลื่อนที่ 3.3 การย่อยไขมันโดยเอนไซม์พวก
Lipaseจนได้กรดไขมันและกลีเซอรอล อวัยวะในระบบย่อยอาหารของคน อาหารที่คนเรานำเข้าสู่ร่างกายจะผ่านไปตามทางเดินอาหารซึ่งยาวประมาณ 1. อวัยวะที่เป็นทางเดินอาหาร ได้แก่ 1.1 ปากและโพรงปาก (Mouth
and mouth cavity ) ประกอบด้วยขากรรไกร (Jaw)
บนและขากรรไกรล่าง เพดานแข็ง เพดานอ่อน ฟัน ลิ้น และต่อมน้ำลาย
ภาพที่ 3.2 ภาพแสดงปากและอวัยวะในโพรงปาก
ที่มา :
snore-gonomics.com
ปาก (Mouth)
เป็นอวัยวะส่วนแรกของระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่เป็นทางเข้าของอาหาร เมื่ออาหารเข้าสู่ปาก จะถูกบดด้วยฟัน มีลิ้นช่วยคลุกเคล้าอาหารให้เข้าน้ำลาย ฟัน (Teeth) มีหน้าที่ในการตัด
ฉีก และบดอาหาร
ซึ่งฟันแท้แบ่งออกเป็น 4 ชนิดตามลักษณะรูปร่างและหน้าที่ คือ ฟันตัด(Incisor) ฟันฉีก(Canine) ฟันกรามหน้า(Premolar) ฟันกรามหลัง(Molar)
ภาพที่ 3.3 แสดงตำแหน่งฟันทั้ง 4 ชนิด( Incisor ,Canine ,Premolar และ Molar)
ที่มา :
www.remedypost.com/site-images/teeth.jpg ฟันของคนเรามี 2 ชุด คือ 1. ฟันน้ำนม
(Temporary teeth ) เป็นฟันชุดแรก มี 20 ซี่
จะเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่ออายุประมาณ
6 เดือน เริ่มหักเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ สูตรฟันน้ำนมของคนเฉพาะ1/4 ของปาก คือ I : C : PM : M คือ 2 : 1 : 0 : 2 2. ฟันแท้ (Permanent teeth) เป็นฟันชุดที่ 2 มีจำนวน 32 ซี่ จะงอกครบเมื่ออายุประมาณ 13 ปี สูตรฟันแท้ของคนเฉพาะ1/4 ของปาก คือ I : C : PM : M คือ 2 : 1 : 2 : 3
โครงสร้างของฟันประกอบด้วย
ตัวฟัน(Crown) จะมีสารเคลือบฟัน(Enamel)
เป็นสารที่มีความแข็งเนื้อแน่นมาหุ้มอยู่ช่วยไม่ให้ฟันผุง่าย
ซึ่งถัดจากสารเคลือบฟันเข้าไปก็จะเป็นเนื้อฟัน(Dentine) ต่อจากเนื้อฟันจะเป็นโพรงฟัน(Pulp cavityเป็นบริเวณที่มีหลอดเลือดและเส้นประสาทฟัน ส่วนที่เป็นลักษณะเรียวต่อจากคอฟันมีลักษณะคล้ายขาเรียกว่ารากฟัน
(Root)
รากฟันฝังอยู่ในช่องกระดูกขากรรไกรมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและสารซีเมนตัม(Cementum)หุ้มอยู่
ภาพที่ 3.4 รูปร่างลักษณะของตัวฟัน คอฟัน และรากฟัน
ที่มา
: faculty/web_bed/apichat/digestive/picture/teeth02.jpg ลิ้น (Tongue) เป็นกล้ามเนื้อโครงร่าง มีเยื่อปกคุลม ลิ้นทำหน้าที่บอกตำแหน่งอาหาร กลืนอาหารและเปล่งเสียง และมีหน่วยรับรู้สารเคมี (Chemoreceptor)ในการรับรสอาหาร และคลุกเคล้าอาหารให้เป็นก้อน (Bolus) แล้วช่วยส่งอาหารเข้าสู่ทางเดินอาหารส่วนถัดไป
ภาพที่ 3. 5 ลิ้นและตำแหน่งของต่อมรับรสชนิดต่าง ๆ
ต่อมน้ำลาย
(Salivary gland) สร้างน้ำลาย(Saliva)
ซึ่งประกอบด้วย เอนไซม์อะไมเลส น้ำ
และเมือก ประกอบด้วยต่อมน้ำลายมี 3
คู่ คือ
ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น(Sublingual gland) ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร(Submaxillary
gland หรือ Submandibular gland) และต่อมน้ำลายข้างกกหู(Parotid
gland) ดังแผนภาพ ภาพที่ 3.6 ตำแหน่งของต่อมน้ำลายทั้ง 3 คู่ของคน
ที่มา :
health.allrefer.com
การหลั่งน้ำลาย (Salivation) การหลั่งน้ำลายออกมาวันละ
1,000 - 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร
จะเกิดเมื่อระบบประสาทพาราซิมพาเธติก ถูกกระตุ้น เช่น การมองเห็นอาหาร กลิ่นอาหาร รสอาหาร หรือความนึกคิด ทำให้หลั่งน้ำลายส่วนใส ๆ ออกมา น้ำลายชนิดใสเป็นน้ำลายที่มีน้ำย่อยอะไมเลสอยู่ด้วย ทำให้โมเลกุลของแป้งแตกตัวเป็นน้ำตาลมอลโทส ส่วนน้ำลายชนิดเหนียวจะมีเมือก(Mucus) อยู่มากทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นอาหาร เพื่อสะดวกในการกลืน
และการผ่านอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร 1.2 คอหอย (Pharynx) อาหารถูกกลืนโดยลิ้นดันก้อนอาหารไปทางด้านหลังลงสู่ช่องคอ
เมื่อเริ่มการกลืน เพดานอ่อน(Soft plate)
ยกขึ้นปิดช่องจมูก
ฝาปิดกล่องเสียง(Epiglottis) จะปิดหลอดลม กล้ามเนื้อบริเวณคอหอย
หดตัวดันก้อนอาหาร (Bolus) เคลื่อนเข้าสู่หลอดอาหาร ภาพที่ 3.7 แสดงโครงสร้างของคอหอย เพดานอ่อน ฝาปิดกล่องเสียง
ที่มา :
www.oncologychannel.com/onc/Images/pharynx.gif
1.3 หลอดอาหาร (Esophagus) ไม่มีต่อมที่ทำหน้าที่สร้างน้ำย่อย เมื่ออาหารผ่านลงสู่หลอดอาหารจะทำให้เกิดการหดตัวติดต่อกันเป็นลูกคลื่นของผนังกล้ามเนื้อหลอดอาหาร
ซึ่งเรียกว่า เพอริสทัลซิส (Peristalsis)
ไล่ให้อาหารตกลงสู่กระเพาะอาหาร
ภาพที่ 3.8 ตำแหน่งของหลอดอาหารต่อจากคอหอยและอยู่ด้านหลังหลอดลม
ที่มา :
www.freewebs.com
ภาพที่ 3.9 แสดงการหดตัวและคลายตัวเป็นจังหวะของกล้ามเนื้อเรียบที่ผนังหลอดอาหารแบบเพอริสทัลซีส ที่มา
: www.thaigoodview.com 1.4 กระเพาะอาหาร (Stomach) อยู่ภายในช่องท้องด้านซ้ายใต้กะบังลม เป็นถุงกล้ามเนื้อที่ยืดขยายได้ดี แข็งแรงมาก สามารถขยายความจุได้ถึง 500 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผนังของกระเพาะอาหาร
มีลักษณะเป็นคลื่น เรียกว่า รูกี (Rugae)
มีต่อมสร้างน้ำย่อย 35 ล้านต่อม
ทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร เรียกว่า Gastic juice
มีกล้ามเนื้อหูรูดอยู่ 2 แห่ง คือ กล้ามเนื้อหูรูด ที่ต่อกับหลอดอาหาร (Cardiac
sphincter) และกล้ามเนื้อหูรูดที่ต่อกับลำไส้เล็ก (Pyloric
sphincter) น้ำย่อยรวมตัวกับอาหารจนเหลวและเข้ากันดีคล้ายซุปข้น ๆ
เรียกว่า ไคม์ (Chyme) จะถูกส่งเข้าสู่ลำไส้เล็กต่อไป กระเพาะอาหารแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ คาร์เดีย(Cardia) ฟันดัส(Fundus)
ตัวกระเพาะ(Body)
และไพลอรัส(Pylorus)
ภาพที่ 3.10 โครงสร้างของกระเพาะอาหารซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ส่วน
และโครงสร้างของผนังกระเพาะอาหารของคน
ที่มา :
faculty.southwest.tn.edu การหลั่งเอนไซม์ในกระเพาะอาหารถูกควบคุมโดยระบบประสาทและฮอร์โมนแกสตริน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ ฮอร์โมนแกสตรินกระตุ้นให้หลั่งเพปซิโนเจน(Pepsinogen)
และโพรเรนนิน(Prorennin) กระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือ
เปลี่ยนเพปซิโนเจนและโพรเรนนินให้เป็นเพปซินและเรนนิน
ซึ่งเพปซินและเรนนินจะย่อยโมเลกุลของโปรตีนให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลงเพื่อส่งต่อไปยังดูโอดีนัม 1.5 ลำไส้เล็ก (Small
intestine)
อาหารที่ย่อยแล้วบางส่วนและยังไม่ย่อยเคลื่อนที่ผ่านกล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็ก ลำไส้เล็กมีลักษณะเป็นท่อยาวประมาณ 6
ภาพที่ 3.11 แสดงส่วนต่าง ๆ
ของลำไส้เล็ก
ที่มา : www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/images/ency/fullsize/19221.jpg เซลล์ผนังของลำไส้เล็กมีการผลิตเอนไซม์
ดังนี้ อะมิโนเพปทิเดส ไดเพปทิเดส ไตรเพปทิเดส ย่อยโปรตีน เอนเทอโรคิเนส
เปลี่ยนทริปซิโนเจนให้เป็นทริปซิน ซูเครส
แลกเทส มอลเทส ย่อยซูโครส แลกโทส และมอลโทส ตามลำดับ ไลเพส
ย่อยไขมัน 1.6 ลำไส้ใหญ่ (Large
intestine)
อาหารที่ย่อยไม่หมดหรือย่อยไม่ได้เรียกว่ากากอาหาร รวมทั้งน้ำ วิตามิน และแร่ธาตุบางส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมจากลำไส้เล็ก
จะเข้าสู่ลำไส้ใหญ่โดยผ่านหูรูดที่กั้นระหว่างลำไส้ใหญ่กับไอเลียม
ลำไส้ใหญ่ของคนยาวประมาณ ส่วนซีกัมจะมีไส้ติ่ง(Appendix)
ยื่นออกจากซีกัมไป
ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการย่อยอาหาร
ภาพที่ 3.12 แสดงลำไส้ใหญ่ส่วนซีกัมซึ่งมีไส้ติ่งอยู่และส่วนโคลอนของลำไส้ใหญ่
ที่มา :
graphics8.nytimes.com 1.7 ไส้ตรง
(Rectum) เมื่อกากอาหารถูกส่งเข้าสู่ไส้ตรงซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของทางเดิน อาหาร
ปฏิกิริยารีเฟ็กซ์กระตุ้นให้ขับอุจจาระออกจากร่างกาย
ภาพที่ 3.13 แสดงส่วนของไส้ตรงที่ต่อจากลำไส้ใหญ่ ที่มา
:
www.answers.com 1.8 ทวารหนัก (Anus) เป็นกล้ามเนื้อหูรูด 2 ชั้น
กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักอันในทำงานนอกอำนาจจิตใจ
แต่กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักอันนอกเปิดออกเมื่อร่างกายต้องการ ทวารหนักอยู่ต่อกับไส้ตรง มีกล้ามเนื้อแข็งแรงบีบตัวช่วยในการขับถ่ายกากอาหาร
ภาพที่ 3.14 ภาพทวารหนัก(Anus)
ที่มา :
pps.uwhealth.org/health/adam/graphics/images/en/7135.jpg
2. อวัยวะที่ช่วยย่อยอาหารแต่ไม่ใช่ทางเดินอาหาร ได้แก่ ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน 2.1 ตับ (Liver) และถุงน้ำดี (Gallbladder) ตับ (Liver) ทำหน้าที่สร้างน้ำดีส่งให้ถุงเก็บน้ำดี
ภาพที่ 3.15 แสดงตำแหน่งตับ
ที่มา :
static.howstuffworks.com ถุงน้ำดี
(Gallbladder) เป็นที่เก็บน้ำดีที่สร้างจากตับ น้ำดีมีสีเหลืองปนเขียวรสขม มีฤทธิ์เป็นเบส ถุงน้ำดีทำหน้าที่สะสมน้ำดี ทำให้น้ำดีเข้มข้น
และขับน้ำดีเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น
ภาพที่ 3.16 แสดงตำแหน่งถุงน้ำดี ท่อน้ำดี
และตำแหน่งที่น้ำดีเข้าสู่ลำไส้เล็ก
ที่มา :
www.nlm.nih.gov 2.2 ตับอ่อน (Pancreas) ตับอ่อนมีรูปร่างคล้ายใบไม้ อยู่บริเวณส่วนใต้ของกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์ ดังนี้ ทริปซิโนเจน ไคโมทริปซิโนเจน โพรคาร์บอกซิเพปทิเดส ส่งไปยังลำไส้เล็ก อะไมเลส ย่อยคาร์โบไฮเดรต ไลเพส
ย่อยไขมัน สร้างโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต
(NaHCO3) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นเบส
เพื่อลดความเป็นกรดจากกระเพาะอาหาร
ภาพที่ 3.17 ภาพแสดงตับอ่อนและบริเวณที่ตับอ่อนปล่อยสารลงสู่ลำไส้เล็ก
ที่มา :
www. academic.kellogg.cc.mi.us/herbrandsonc/bio201 3.
การดูดซึมสารอาหาร (Absorption) การดูดซึมสารอาหาร หมายถึง
การที่สารอาหารถูกย่อยสลายจนมีโมเลกุลมีขนาดเล็กลง เช่นกลูโคส กรดอะมิโน
แล้วถูกส่งจากผนังทางเดินอาหารเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือด
เพื่อนำอาหารเหล่าน้ำไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่วนกรดไขมันและกลีเซอรอล จะดูดซึมเข้าสู่หลอด
น้ำเหลืองฝอย
การดูดซึมแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ตามอวัยวะทางเดินอาหารดังนี้ ปาก คอหอย หลอดอาหาร
มีการดูดซึมน้อยมากจนไม่ถือว่ามีการดูดซึม
ภาพเคลื่อนที่ 3.5 การดูดซึมสารอาหารประเภทโปรตีน
ภาพเคลื่อนที่ 3.6 การดูดซึมสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
ภาพเคลื่อนที่ 3.7 การดูดซึมสารอาหารประเภทไขมัน
กระเพาะอาหาร มีการดูดซึมน้อยมากเช่นกัน
กระเพาะอาหารจะมีการดูดซึมสารที่ละลายในลิพิดได้ดี เช่น แอลกอฮอล์ และยาบางชนิด
ลำไส้เล็ก เป็นบริเวณที่มีการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ มากที่สุด ลำไส้เล็กมีการเพิ่มพื้นที่ผิวโดยมีส่วนที่ยื่นขึ้นมาในท่อของลำไส้มีลักษณะคล้ายนิ้วมือประมาณ
4 5 ล้านอัน เรียกว่าวิลไล(Villi)
ผิวด้านนอกของวิลไลยื่นออกไปเรียกว่าไมโครวิลไล (Microvilli)
เป็นผลให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมของลำไส้เล็กสูงมาก
ลำไล้เล็กส่วนดูโอดีนัมดูดซึมสารอาหารและวิตามินเกือบทุกชนิด
ส่วนเจจูนัมดูดซึมสารอาหารพวกไขมัน
และส่วนไอเลียมดูดซึมวิตามินบี 12 และเกลือน้ำดี
โดยออสโมซิส (Osmosis) การแพร่แบบฟาซิลิเทต
และกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต(Active transport)
ภาพที่ 3.18 แสดงโครงสร้างของวิลไลในลำไส้เล็กของคน
ที่มา : www.sema.go.th ลำไส้ใหญ่
ส่วนที่เหลือจากการย่อยและการดูดซึมของลำไส้เล็ก กากอาหารนี้จะถูกลำไส้ ใหญ่ดูดน้ำ เกลือแร่ น้ำดี และสารอาหารจากกากอาหาร
โดยกระบวนการ แอกทีฟทรานสปอร์ต (Active
transport) |
....................................................................................