เรื่องที่ 4 ความผิดปกติของทางเดินอาหารบางส่วน จุดประสงค์การเรียน 1.
สืบค้นข้อมูล
อภิปราย
และระบุสาเหตุบางประการที่ทำให้เกิดความผิดปกติกับทางเดินอาหาร
บางส่วนของคน
และสามารถนำความรู้ไปใช้ในการดูแลสุขภาพ ความผิดปกติของทางเดินอาหารบางส่วน 1. นิ่วในถุงน้ำดี (Gallstone) ในประเทศที่พัฒนาแล้ว พบว่าผู้ใหญ่ร้อยละ 10 20 มีนิ่วในถุงน้ำดี
และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย นิ่วในถุงน้ำดีประกอบด้วยคอเลสเทอรและเกลือน้ำดีซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการที่ตับมีการหลั่งน้ำดีที่มีความเข้มข้นของคอเลสเทอรอลสูงกว่าปกติ ผู้ป่วยบางรายที่มีนิ่วในถุงน้ำดีอาจจะไม่มีอาการผิดปกติแต่บางรายอาจจะมีอาการเช่นปวดบริเวณช่องท้องด้านบน หรือใต้ชายโครงด้านขวาหรืออาจปวดร้าวที่สะบักขวาร่วมกับอาการคลื่นไส้และอาเจียนซึ่งมักจะเกิดหลังจากรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
และในบางครั้งผู้ป่วยจะมีไข้
หนาวสั่น ตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นภาวะแทรกซ้อนได้
ภาพที่
4.1 แสดงตำแหน่งถุงน้ำดี ซึ่งอยู่ใต้ตับเหนือลำไส้เล็ก
ที่มา : gogogojiteam.com
ภาพที่ 4.2 แสดงหินในถุงน้ำดี
ที่มา
: almglobal.net 2.
ดีซ่าน (Jaundice) ดีซ่าน คืออาการตัวเหลืองและตาเหลือง ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ท่อน้ำดีอุดตัน ภาวะตับอักเสบ
หรือการที่มีเซลล์เม็ดเลือดแดงแตกในกระแสเลือด เป็นต้น
ผู้ป่วยดีซ่านควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ภาพที่ 4.3
อาการตัวเหลืองและตาเหลืองในเด็กของผู้ป่วยดีซ่าน
ที่มา
: health.allrefer.com
ภาพที่ 4.4 อาการตัวเหลืองและตาเหลืองในผู้ใหญ่
ที่มา :
www.nlm.nih.gov
3. อะโนรีเซีย เนอร์โวซา (Anorexia nervosa) เป็นความผิดปกติของการรับประทานอาหาร ส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้หญิงอายุน้อยที่อด
อาหารเอง ตามคำศัพท์หมายความว่า สูญเสียความรู้สึกอยากอาหาร แต่มักมีผลกระทบต่อคนที่อ้วนจากอาหารและรู้สึกหิวอย่างต่อเนื่อง สาเหตุการเกิดอะโนรีเซีย เนอร์โวซา
มีความซับซ้อนมาก
แต่ยีนมีบทบาทแน่นอน
อาการของโรคคล้ายกับผู้มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร คือ
มีน้ำหนักลด
นอกจากนั้นยังบาดเจ็บได้ง่ายจากการสูญเสียกระดูกและกระดูกเปราะ
ภาพที่ 4.5 แสดงการเกิดอะโนรีเซีย เนอร์โวซาในคน
ที่มา :
totallyfabulous.typepad.com
ภาพที่ 4.6 แสดงการเกิดสูญเสียความรู้สึกอยากอาหาร
ในคน
ที่มา : รูปซ้าย ebsco.smartimagebase.com
รูปขวา www.fotosearch.com
4. โรคกระเพาะอาหาร
(Peptic ulcer) เนื้อเยื่อบุผิวของกระเพาะอาหารหรือส่วนต้นของลำไส้เล็กเป็นรู
กรดที่รั่วจากแผลของกระเพาะอาหารก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
และอาจคุกคามต่อชีวิตถ้ารุกรานถึงหลอดเลือด ปัจจุบันมีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
และมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นเป็นประจำ
เช่น เป็นตะคริว
ท้องร่วง
และในผู้หญิงจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ช่องคลอด(Vaginal infection)เป็นสองเท่า
ภาพที่
4.7
แสดงแผลในกระเพาะอาหารของคน
ที่มา :
http://medicalimages.allrefer.com/large/ulcer-emergencies.jpg การเกิดแผลในกระเพาะอาหารอาจเกิดจากการกินอาหารไม่เป็นเวลา
เนื่องจากร่างกายมีระบบควบคุมการหลั่งกรดไฮโดรคลอริก และเพปซิโนเจนในกระเพาะอาหารเป็นเวลาตามปกติที่เคยรับประทานอาหาร
ดังนั้นเมื่อในกระเพาะอาหารไม่มีอาหารก็ยังคงหลั่งเพปซิโนเจนและไฮโดรคลอริกดังเดิม
ทำให้ผนังกระเพาะอาหารถูกทำลายจนเป็นแผล เพราะกรดไฮโดรคลอริกไปทำลายเซลล์มากกว่าอัตราการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนได้ทัน การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
คาเฟอีน รวมถึงการรับประทานอาหารรสจัด
ทำให้มีกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหารมากกว่าปกติ การพักผ่อนไม่เพียงพอมีอารมณ์เครียด
วิตกกังวลและรับประทานอาหารไม่ได้จะเกิดผล เสียต่อสุขภาพโดยรวมมากยิ่งขึ้น
เป็นปัจจัยหนึ่งทำให้เกิดการหลั่งกรดไฮโดรคลอริกออกมาในกระเพาะอาหารมากกว่าปกติ 5. โรคกรดไหลย้อน (Gerd) ภาวะที่กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหารทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก
หรือแสบหน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย บางครั้งอาจจะรู้สึกรสเปรี้ยวหรือรสขมของน้ำดี มีอาการกลืนลำบากหรือกลืนแล้วเจ็บ เจ็บคอ
แสบลิ้นเรื้อรังโดยเฉพาะในตอนเช้า
สาเหตุของโรคคือ ดื่มสุรา อ้วน ตั้งครรภ์ สูบบุหรี่ ทานของมันหรือของทอด
การรักษาคือลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินเพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูง ทำให้กรดไหลย้อนได้มาก งดบุหรี่ งดอาหารก่อนนอน 3
ชั่วโมง งดอาหารมัน
ทอด อาหารที่ปรุงด้วยหัวหอม
กระเทียม ช็อคโกแลต
เผ็ดจัด รับประทานอาหารพออิ่ม
หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา ภาพที่ 4.8
ภาพภาวะที่กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหาร ที่มา :
http://www.surachetclinic.com/images/1200900180/1203648770.jpg ความรู้เพิ่มเติม ภาพที่ 4.9 แสดงตัวอย่างยาบางชนิด ที่มา : www.yourhealthyguide.com - ยาก่อนอาหาร คือ
ยาที่ละลายได้ดีในสภาวะเป็นกรด
ในกระเพาะอาหารในสภาพที่ท้องว่างมีสภาพเป็นกรดเพราะมีกรดเกลือ(HCl) อยู่
จึงจำเป็นต้องกินยาประเภทนี้ก่อนรับประทานอาหารอย่างน้อย 30 นาที
เพื่อให้ยาละลายและดูดซึมได้ดีทำให้ประสิทธิภาพของยาและการรักษาได้ดีด้วย - ยาหลังอาหาร คือ
ยาประเภทที่มีสภาพเป็นกรดหรือเร่งการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร
ถ้ากินยาประเภทนี้ในสภาพก่อนอาหารหรือท้องว่าง ทำให้เกิดสภาวะกรดในกระเพาะอาหารสูงและกัดกระเพาะให้เป็นแผลได้
ยาหลังอาหารบางประเภทจะถูกทำลายประสิทธิภาพหรือฤทธิ์ของยาด้วยสภาวะกรด
ดังนั้นจึงควรกินยาชนิดนี้หลังรับประทานอาหารประมาณ 15-30 นาที
............................................................................................ |